โทรศัพท์...เป็นเหตุ
ผู้เข้าชมรวม
201
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
โทรศัพท์...เป็นเหตุ
เมื่อผมยังเป็นเด็ก อายุ 8-9 ขวบ เคยมาชุมสายโทรศัพท์ กับเ เพื่อนในวัยเดียวกัน เพื่อโทรศัพท์สั่งสินค้าจากกรุงเทพแถวย่านเยาวราชมาขาย ที่ชุมสายโทรศัพท์ มีตู้ให้บริการเพียงแค่ 4 ตู้ ค่าบริการโทรศัพท์ ในอดีตค่อนข้างแพงมาก เมื่อไปถึงที่ชุมสายเราก็จะเอาหมายเลขโทรศัพท์ ที่ต้องการจะโทรถึง ให้เจ้าหน้าที่ต่อสายไปยังปลายทาง สักครู่เมื่อเจ้าหน้าที่ติดต่อปลายทางได้ เขาก็จะสั่งให้พูดได้
.........................................................................
ในขณะที่ผมกำลังเรียน ชั้น มศ. 3 เทอมแรก ...ต้องสะดุดตา เมื่อพบกับนักเรียนหญิงคนหนี่ง ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน รูปร่างเธอสมส่วน หน้าตาสะสวย ตาคมคล้ายคนแขก ผิวออกคล้ำเล็กน้อยเธอ เดินหิ้วกระเป๋าผ่านหน้าชั้นเรียนที่ผมเรียน... มาทราบภายหลังว่าเป็นนักเรียนชั้น มศ. 2 ที่เพิ่งมาเข้าเรียนใหม่ ทั้งยังเป็นลูกปลัดเทศบาล... ที่เพิ่งย้ายมาทำงานที่เทศบาลฯ แรกๆ ที่ผมเห็น เธอจะเดินคนเดียว แต่พอผ่านไปได้สักสองสัปดาห์ เธอจึงเริ่มมีเพื่อนสนิท มันก็เป็นธรรมชาติของวัยรุ่น... ที่เมื่อเห็นเพศตรงข้าม สวยงามก็ต้องนึกชอบ นึกรัก.. เรื่องอย่างนี้ ผมย่อมรู้ตัวเองดีว่า ผมคือใคร.. เป็นลูกใคร... ฐานะเป็นอย่างไร... แน่นอน... เราย่อมต้องเจียมตัว...ผมคิด การที่ผมได้นั่งฟังนิยายทางวิทยุ กับแม่บ่อยๆ ย่อมรู้ว่า ความรักนั้น ..อาจมีฐานันดร มากีดกั้นให้คู่รัก มีอุปสรรคได้
ต้อย..คือ ชื่อเล่นของเธอ ชื่อจริงไม่ต้องปกปิด คือ พัชรา แต่ขอสงวนนามสกุลไว้ บ้านพักของต้อยเป็นบ้านพักข้าราชการ ห่างจากบ้านผมไม่เกิน 300 เมตร.. หากผมผ่านที่หน้าบ้านของเธอ ไม่เคยเลย ที่จะไม่หันเข้าไปมองภายในบ้าน... ว่าไปแล้วบ้านของเธอ ผมเคยเข้าไปเล่น ไปนอนเปล ตั้งแต่ครั้งปลัดคนเก่ายังไม่ย้ายไปอยู่ที่จังหวัดอื่น เนื่องจากผมเป็นเพื่อนกับลูกๆ ของเขา นั่นเอง...
เนื่องจากผมกับต้อย เรียนกันคนละชั้นปี จึงไม่ค่อยจะได้เจอกันบ่อย หลังเลิกเรียนแล้ว เธอมักจะเก็บตัว อยู่แต่ในบ้าน.. นานๆ ครั้งจึงจะเห็นเธอ ขี่จักรยานผ่านหน้าบ้านผมสักครั้ง.. คราใด...เมื่อเห็นเธอ ...ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวา ดังกับได้น้ำทิพย์ ชโลมใจ จากเบื้องบนสวรรค์ชั้นฟ้าเลย
หมา (เห่า) มองเครื่องบิน.... คำเปรียบเปรย ที่ไม่มี ในสำนวนไทย ที่เราได้ยินบ่อยๆ... แต่ก็คงจะไม่เป็นไร มันเป็นความสุขเล็กๆ ที่ผมได้เพียงแต่คิด.. อย่างน้อยมันก็เป็นกำลังใจ... (คงเป็นเพียงแค่ความฝัน...กระมัง) ผมคิด
เมื่อผมเรียนจบ มศ. 3 แล้ว ก็ได้ไปเรียนต่อ มศ. 4 ที่วัดราชาธิวาส เราจะได้พบกันก็ต่อเมื่อปิดเทอม แม้ผมจะยังไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่เพียงแค่ผมมีเข็มติดหน้าอกเสื้อ เพื่อบอกว่าผมเรียนชั้น ม.ปลาย ในกรุงเทพ... ผมก็ภูมิใจที่ได้แอ๊กอาร์ต กับเด็กรุ่นน้อง... ผมเรียนม.ปลาย ได้ปีเดียว ก็ต้องมาเรียนเกษตรเจ้าคุณทหาร เธอยังคงเรียนที่ รร.เดิม เป็นเพราะทางจังหวัด มีนโยบายขยายฐานการศึกษา ให้ รร. ระดับอำเภอ สามารถเปิดสอนชั้น ม.ปลาย ได้ เธอจึงเป็น นักเรียน ม.ปลาย รุ่นแรก... จากเด็กที่เคยใส่กางเกงขาสั้น ผม..ก็กลายเป็นเด็กวัยรุ่น ใส่กางเกงขายาว มองตัวเองแล้ว ดูมันเท่ห์ ไม่เบาเลย
ปีต่อมา... เมื่อต้อย จบ ม.ปลาย แล้ว ขณะที่ผมกำลังจะเดินทางมาลงสถานีรถไฟ หัวตะเข้ ได้เจอต้อย โดยบังเอิญ...บนรถไฟ เธอกำลังหาที่นั่งพอดี
“นั่งตรงนี้ก็ได้นะครับ...ต้อย ที่นั่ง ยังว่างครับ..” ผมรวมความกล้า ที่จะเอ่ยปากพูดออกไป พร้อมชี้ลงตรงบริเวณที่นั่ง ที่ยังไม่มีใครมาจับจอง เธอเพียงยิ้มๆ แล้วก้าวเดินช้าๆ ผ่านออก ไปจากที่ ที่.ผมนั่ง
“พอดีนัดเพื่อนไว้ ตรงโบกี้โน้น เขาคงจองที่ไว้ให้แล้วล่ะ ขอบใจนะ” ต้อยพูด
“ถ้าไม่เจอเพื่อน ยังไงๆ ก็มานั่งตรงนี้...นะครับ”
ผมได้แต่มองตาปริบๆ ด้วยความเสียดาย..ทั้งๆ ที่เกือบจะมีได้โอกาส ได้นั่งคุยกันกับเธอสองต่อสอง ตลอดเส้นทางอยู่แล้วเชียว... รถไฟ จากอรัญประเทศ–กรุงเทพฯ จะออกใน เวลา 11.45 น. เมื่อได้เวลาแล้ว รถไฟก็เปิดหวูดสัญญาณ ระฆังจากสถานี ได้ถูกตีเป็นจังหวะให้รถไฟ เคลื่อนที่ได้ นายสถานีออกจากห้องทำงาน มายืนที่ชานชลาพร้อม สะบัดธงเขียวให้สัญญาณ รถไฟเริ่มขยับตัวเคลื่อนที่อย่างช้าๆ
“ปู๊นๆๆ...” รถเคลื่อนตัวแล้ว จากนั้นก็เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นๆ ผมมองออกข้างนอกหน้าต่าง เพื่อชมวิว ทิวทัศน์ บรรยากาศ ข้างทางที่สวยงาม แต่ภายในตู้โบกี้ที่ผมนั่ง ...กลับเงียบสนิท ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ สงสัย...ต้อยคงเจอเพื่อนเธอ แล้วล่ะ ผมคิดในใจ มิฉะนั้นเธออาจจะมานั่งที่ตรงนี้กับเราแล้วก็ได้… ว่าไปแล้ว เธอเป็นคนน่ารักอย่างมาก แต่...เอ... พ่อของเธอเป็นปลัด แม่ของเธอก็รับราชการ ผมเป็นเพียงลูกแม่ค้าจนๆ คนหนึ่ง ความห่างชั้นระหว่างผมและเธอ ดูเสมือนกับ...ดอกฟ้ากับหมาวัด...ไม่ปาน เธอกับเราต่างกันดัง...เหวกับฟ้า... กระต่ายกับจันทรา ...ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ..ทุกสิ่งทุกอย่าง มันแตกต่างกันลิบลับ และมันไม่น่าเป็นไปได้เลยสักนิดเดียว เรากำลังฝันกลางวันแท้ๆ... สิ่งที่มันน่าจะเป็นได้จริงๆ...ก็ต่อเมื่อ ดอกฟ้าหล่นจากต้นลงมาเพราะถูกวางยา หรืออาจบังเอิญว่า วันนั้นๆ เครื่องบินเกิดน้ำมันหมดและตกลงมา จึงเป็นโอกาสที่หมา จะได้ไปคาบเครื่องบินมาเชยชม (ช่างไร้สาระ... ผมคิด...) รถไฟได้เคลื่อนตัวจากสถานีหนึ่ง–ไปสู่อีกสถานีหนึ่ง ผู้โดยสารต่าง ขึ้นๆ ลงๆ ตามสถานีต่างๆ
แม่ค้า ยังคงเดินขายอาหาร.. ขายของกิน.. เสียงระฆัง.. เสียงโฆษกจากสถานีรถไฟ.. ได้ประกาศบอกให้ทราบว่า ถึงสถานีไหนแล้ว.. พร้อมเตือนผู้โดยสาร ไม่ให้ลืมสัมภาระที่ติดตัวมาด้วย เมื่อถึงสถานีฉะเชิงเทรา ผู้คนเริ่มมากขึ้น..ในระหว่างนี้ผมได้ตัดสินใจที่จะไปคุยกับต้อย เพื่อขอที่อยู่เธอไว้... เผื่อมีโอกาสได้เขียนจดหมายพูดคุยกันบ้าง.... ผมส่งที่อยู่ของผมให้เธอก่อน จากนั้นเธอจึงเขียนที่อยู่ส่งมาให้ผมภายหลัง ...ผมรู้สึกดีใจ จนออกหน้าออกตา
จากสถานีแปดริ้ว มาสถานีรถไฟหัวตะเข้ ต้องผ่านสถานีรถไฟเล็กๆ อีกประมาณ 4-5 สถานี ได้แก่ คลองบางเตย บางพระ เปรง คลองอุดม คลองหลวงแพ่ง และก็ถึงหัวตะเข้... พอถึงสถานีคลองหลวงแพ่ง ผมจึงเตรียมสัมภาระที่ติดตัวมา ซึ่งมีเพียงแค่กระเป๋าใบเดียว... ไหนๆ จะลงแล้ว ขอเดินแวะเพื่อไปร่ำลา ซะหน่อย... เสียงรถไฟ ยังคำราม..ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง... เสียงล้อเสียดสีรางเหล็กดัง อี๊ด... อ๊าด... จนเสียวหัวใจ
“ต้อย ผมจะลงสถานีหน้าแล้ว นะครับ ยังไง ผมจะ เขียนจดหมาย ถึงต้อย แล้วอย่าลืมตอบผมด้วย นะ”
“จ๊ะ.. ไม่ลืมหรอก..” ต้อยตอบมา เพียงคำพูดสั้นๆ แค่นี้ มันก็เป็นความหวังของสุนัขอย่างผม ที่ยังหวังว่า คงมีโอกาสได้คาบเครื่องบินสักวัน ในโอกาสที่นักบินอาจเผลอลืมเติมน้ำมันจนกระทั่งเครื่องบินตกก็ได้... ผมมองต้อยด้วยนัยน์ตา หวานฉ่ำ.. ความรัก...มันมีอานุภาพ อย่างมาก... ผมเชื่อแล้วจริงๆ รถไฟค่อยๆ ชะลอความเร็ว เพราะใกล้ถึงสถานีหัวตะเข้แล้ว ผมใจหายอย่างบอกไม่ถูก อะไรกัน... เรานั่งรถไฟมาแป๊บเดียวก็ถึงหัวตะเข้แล้ว ทุกครั้งก่อนหน้าที่เคยเข้ามากรุงเทพฯ กว่าจะมาถึงสถานีที่นี่... ต้องนั่ง หาวแล้วหาวอีก หลับแล้วหลับอีก..“ผมลงก่อนนะ หวังว่าเราจะได้พบกันอีก” คำบอกลาที่ผมเอ่ยขึ้นกับต้อย ด้วยเสียงแผ่วเบา สายตาบ่งบอกถึงความอาลัย ซึ่งในใจคิดว่า เราไม่น่าจะพลัดพรากจากกันไปเลย...ชั่วไม่เกิน 30 วินาที ผมก็ได้ก้าวลงจากบันได พร้อมโบกมืออำลาต้อยอีกครั้ง...
รถไฟจอดที่สถานีหัวตะเข้ ประมาณ 3-5 นาที ผมยังยืนอยู่ที่ชานชลาต่อไป รอจนกว่ารถไฟจะเคลื่อนตัว... เก๊ง..ๆๆ เสียงระฆังดังขึ้น สัญญาณเตือนให้รถออก... เสียงหวูดรถไฟ ตะโกน “ปู๊นๆ..” รถไฟค่อยๆ ขยับ ...ผมยังยืนมองรถที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวทีละน้อยๆ เห็นต้อยยืน โบกมือไปมา
“ โอ..นางฟ้า ของผม” ผมทึกทักขี้ตู่ ว่าเธอคือคนรักของผม รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออก ไปพ้นจากสถานีหัวตะเข้. ท้ายขบวนค่อยๆ เล็กลงๆ จนลับสายตา วันนี้รู้สึกสดชื่น มีความสุขมาก และกระปรี้กระเปร่า... อย่างบอกไม่ถูก.. คิดว่าข้าวปลาอาหารเย็นนี้ คงงดสักมื้อ. ...ถ้าจะดี... จากนี้ไป ..เราต้องทะนุถนอม รดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย กับต้น..ความรัก แม้ผมจะยังไม่รู้และแน่ใจว่าเธอจะชอบผมหรือไม่ก็ตาม... แต่จากสายตาของเธอ มันก็ฟ้องกับผมว่า ...ขอให้เราทั้งสองคน มาผูกสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน เพื่อแปรสภาพจากเพื่อน...มาสู่การเป็นคนรัก..ในที่สุด
...........................................................................
ค่ำคืนนั้น ผมก็ได้บรรเลง บรรจงเขียนจดหมาย เพื่อเตรียมส่งให้ต้อยทันที สำนวนที่เขียนไปแต่ละประโยค แต่ละบรรทัด หวานหยดย้อยหยาดเยิ้ม ชวนอาเจียน ใครจะว่าเป็นสำนวน ..ลิเก ลำตัด.. ก็ช่าง แต่ผมก็ภูมิใจ ..ที่ผมสามารถกลั่นกรองเนื้อหา ได้อย่างดีที่สุด ขณะที่นอนเขียนจดหมายในหอพัก บนเตียงข้างบน เจ้าเพื่อนข้างล่างก็โยกเตียงให้มันกระเทือน..เพื่อแกล้งผม
ไม่เป็นไร..ว่ะ ทีใครก็ทีมัน ผมคิดในใจ... แต่ในที่สุด ผมก็เขียนจดหมายเสร็จ จึงผนึกซอง.. แล้วเก็บเข้าในปลอกหมอน แล้วนอนหลับอย่างสบายอุรา
...............................................................
ในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากกินข้าวเช้าที่โดมสระน้ำเสร็จ ผมได้กลับเข้ามาที่หอพัก แล้วจึงอาบน้ำแต่งตัวที่จะไปเรียน ก่อนเข้าเรียนก็ได้แวะ เอาจดหมายมาหย่อนลงตู้ ที่ข้างๆ ป้ายสถาบันฯ เยื้องหน้าร้านพี่จิ๊บ ..ท่ามกลางเสียงแซวจากเพื่อนๆ วันนี้ผม..ตั้งใจเรียน และมีสมาธิ ในการเรียนอย่างดีมาก หลังจากส่งจดหมายไปหนึ่งสัปดาห์ ก็รอลุ้นว่าเมื่อไหร่ ต้อยจะตอบกลับมา ผมไปยืนดักรอบุรุษไปรษณีย์ ที่หน้าตึกอำนวยการตรงบริเวณเคาน์เตอร์ ซึ่งด้านข้างมีชั้นวางจดหมาย 3-4 วัน ก็แล้ว ยังไร้วี่แววจนเกิดความรู้สึกว่าคงกินแห้วแล้วล่ะเรา... ก็จริงแหละ เรามันลูกคนจน มีหรือดอกฟ้าจะเหลียวหลังมามอง... ผมเริ่มคิดแล้ว ย้อนมามองตนเอง ช่างเถอะ... แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา ไม่ตายคงหาคู่ได้แหละน่า.. แต่แล้ววันหนึ่ง..มีเพื่อนในห้องเรียนเดียวกันได้มาบอกข่าวดี
“ เฮ้ย ไอ้ขลุ่ย มีจดหมายจากสาวชื่อพัชรา โว้ย อยากได้ต้องมีค่าไถ่ มาแลกเอา...บุหรี่ตัวนึง... เคมั้ย...” เพื่อนคนหนึ่งพูด
ผมคิดไปว่าเพื่อน มันคงมาอำผม โดยปกติแล้วพวกเรา มักจะมีการอำกันเสมอๆ เหตุที่มันรู้จักชื่อจริงของต้อย เพราะผมเป็นคนเคยเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง ผมเคยเล่าว่า ... ผมรู้จักต้อยได้เพราะเป็นรุ่นน้อง สมัยเรียนชั้นมัธยมต้น และปัจจุบัน เธอกำลังเรียนที่ ม.รามคำแหง คณะมนุษยศาสตร์
“จริง อ่ะ” ผมถามเพื่อนด้วยเสียงสูง
“จริงสิวะ ไอ้ห่า อยากอ่านแล้วสิท่า ..เอาบุหรี่มาแลกกับจดหมาย เดี๋ยวนี้... กูถึงจะให้”
“รอกูเดี๋ยว.. เดี๋ยวไขกุญแจ เอาบุหรี่ให้” ผมพูด คงบอกว่าการรอคอย จดหมายนานๆ มันช่าง..ทรมานจริงๆ... ใครไม่เจอกับตัวคงไม่รู้หรอก หลังจากผมเอากุญแจ เปิดไขตู้แล้ว จึงหยิบบุหรี่แลกเปลี่ยนจดหมายกับเพื่อน จนจดหมายได้มาอยู่ในความครอบครองของผม.. ผมค่อยๆ หลบฉากเพื่อนๆ แล้วจึงไปฉีกซอง อย่างประณีตค่อยๆ ดึงกระดาษ ที่บรรจุเนื้อหา ที่ต้อยเขียนจากกระดาษเขียนจดหมายอย่างดี
กระดาษที่เธอเขียนจดหมายมา มีกลิ่นหอมจนเตะจมูกผมเลยเชียว “อุวะ..กระดาษ แม่งโคตรหอม จริงๆ” ผมคิด จากนั้นผมจึงค่อยๆ กางกระดาษเขียนจดหมาย แล้วคลี่ออกมาจากรอยพับที่ต้อยแบ่ง เป็นสามส่วน ...สายตาผมเริ่มจับภาพตัวอักษร เห็นปากกาที่เธอบรรจงเขียน วิเคราะห์ได้ว่าคงเป็นปากกาหมึกซึมอย่างแน่นอน ลายมือที่เธอเขียนมา อ่านง่ายค่อนข้างสวย เธอกล่าวถึงเรื่องการเรียน เรื่องที่เราทั้งสองคนได้รู้จักกัน เธอยังบอกกับผมอีกว่า เคยเห็นผมใส่เสื้อลายสก๊อตกับกางเกงยีนส์ทรงมอส... ดูแล้ว เท่ห์มาก ...เพียงแค่ใจความแค่นี้ ผมนี่ ยิ้มจนแก้มปริ ไม่ยอมหุบ... สายตาผมเริ่มอ่านต่อไป เธอบอกว่าให้เราค่อยๆศึกษา ดูนิสัยใจคอกันและกัน ตอนนี้เราเป็นเป็นเพื่อนกันไปก่อน... และในโอกาสต่อไป เราอาจจะเป็นแฟนกันก็ได้ เธอถามถึงบรรยากาศ ในรั้วเกษตรเจ้าคุณทหาร ว่าเรียนอย่างไร มีนักศึกษามากมั้ย.. และ หากมีโอกาส อยากจะมาเที่ยวที่เกษตรเจ้าคุณทหารบ้าง จะขัดข้องหรือไม่... คำลงท้าย...ในจดหมายฉบับแรกของเธอลงท้ายว่า “รักและคิดถึงมาก... ต้อย”
จากจดหมายฉบับที่ 1 เป็น 2 เป็น 10 ความสัมพันธ์ในการเป็นเพื่อน เริ่มค่อยสนิทกันมากขึ้นๆ จนถึงขั้นว่าเป็นแฟนกันแล้ว ว่ากันจริงๆ แล้ว ในขณะที่ผมคบกับต้อย ผมย่อมต้องมีสำเนา (สำรอง) เอกสาร เผื่อความผิดพลาดด้วย นยุคนั้นการสื่อสารของพวกเราที่นิยมมากที่สุด คือ การเขียนจดหมาย ช่วงนั้นผมคบกับ เล็ก สาวอิสลาม ที่จังหวัดนนทบุรี สัปดาห์หนึ่ง ต้องมีจดหมายเข้ามาที่สถาบัน อย่างน้อย สองฉบับ การได้รับจดหมาย ไม่ว่าจะเป็นของใคร เมื่อได้อ่าน มันย่อมให้เราคลายเหงาได้ .อ่านเสร็จ ผมก็เอาไว้ในตู้บ้าง หรือบางทีเผลอไป ซุกไว้ใต้ฟูก ไอ้เพื่อนที่น่ารัก..ในหอ ลูกอีช่างค้น.. มันก็จะแอบค้นจดหมายมาอ่าน แล้วมาล้อเลียนเป็นที่สนุกสนาน.. เวลาการคบหาของเราผ่านมาสองปี.. ส่วนใหญ่จะใช้จดหมาย เป็นสื่อสารสัมพันธ์กันและกัน ช่วงปิดเทอมผม อาจจะเจอกันกับต้อยบ้าง ชั่วระยะ เวลาสั้นๆ เท่านั้น ใครเล่าจะกล้าเข้าไปคุยในบ้านพักปลัด.. อย่างเก่งก็นัดกันมายืนคุยหน้าโรงหนัง สักพัก..
เหตุการณ์ครั้งสำคัญได้เกิดขึ้นแล้ว.. เมื่อวันหนึ่ง... ที่ผมรับจดหมายจากต้อย จากข้อความที่เธอ เขียนมาได้มีการนัดหมายให้ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวกับเธอสองต่อสอง เราเคยเขียนจดหมาย เกริ่นๆ ก่อนหน้าแล้วว่า จะนัดกันไปเที่ยวเมืองนนท์... สองฝ่ายจะสะดวกเพื่อรอรถที่ไหน ผมบอกเธอว่าที่ ป้ายรถเมล์ หน้าหอสมุดแห่งชาติ แน่นอนว่า ..หากต้อยเป็นลูกสามัญชน คนธรรมดา. ผมคงไม่ต้องเตรียมอะไรมาก..แต่นี่. เขาเป็นลูกปลัดเทศบาล ที่มีอนาคตไกล หลังจากพ่อต้อยเป็นปลัดที่นี่ ได้สักสองปีเศษ เขาก็ย้ายไปในจังหวัดใหญ่ คือ นครราชสีมา และสมุทรปราการ บังเอิญ ผมติดตามข่าวคราว ความเคลื่อนไหว ว่าที่ พ่อตาของผม (ตลอด..555)
เพื่อนๆ ใน หอ.1 ใน ห้อง102 ต่างล้วนหวังดี..อยากเห็นผมหล่อ ผมเท่ห์.ต่างให้หยิบให้ยืมวัตถุสิ่งของให้ยืมใส่-ยืมประดับ อาทิ นาฬิกา แว่นตา เข็มขัด รองเท้า เสื้อที่ใหม่เอี่ยม ..ผมรู้สึกมั่นใจในตัวเองอย่างมาก ไอ้เงาะจะได้แปลงร่างเป็นพระสังข์แล้ว ผมคิดว่ารจนา คงต้องพึงพอใจอย่างมากอย่างแน่ๆ.. กระเป๋าเงินที่ผมไม่เคยมีเคยใช้ ก็เพิ่งมี เพราะเพื่อนให้ยืม เมื่อมีกระเป๋า แล้วมันก็ต้องมีเงินธนบัตร ใส่ให้มันมั่นอกมั่นใจ.. ว่าสามารถ ที่จะดูแลตนและนางฟ้าที่มาด้วย.... อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพื่อนๆ ต่างให้หยิบยืมคนละร้อย สองร้อย เงินในกระเป๋าจึงมีพันกว่าบาท.. โอโฮ... มาดนี่เป็นเสี่ยเลย... สบายมาก วันนี้ ถึงไหนถึงกัน วะ ผมคิด
เช้าวันเสาร์แห่งการนัดหมายก็มาถึง.. ผมอาบน้ำแต่งตัว ออกจากหอพัก มานั่งรอรถไฟที่สถานีรถไฟ.. เพื่อจะมาที่ลงสถานีมักกะสัน .โอ้.. โห ..หัวใจผมนี่เต้นดัง ยิ่งกว่ากลองเพลที่วัด เสียอีก.. เมื่อซื้อตั๋วได้แล้ว ก็เดินเตร่ไป เตร่มา.. รถไฟเที่ยวนี้ เป็นรถที่สองขบวน จะต้องรอสับหลีก หลังจากที่รถสองขบวนมาถึงสถานีรถไฟแล้ว วันนั้นรถขบวนเที่ยวขึ้นกรุงเทพฯ เป็นขบวนที่ต้องออกจากสถานีก่อน.. เมื่อผมนั่งบนรถไฟแล้ว...พลางคิดไปว่า เราควรจะใช้คำพูดอย่างไรให้สุภาพที่สุด เพื่อให้ต้อยเกิดความประทับใจที่สุด ผมค่อนข้างมั่นใจในเสื้อผ้าอาภรณ์ ที่แต่งมาในวันนี้ว่า ใช่...เลย เพอร์เฟคที่สุด (ครบถ้วนดีเลิศ ) ทันสมัยที่สุด.. เมื่อรถจอดที่สถานีมักกะสันแล้ว ผมค่อยๆ เดินมา เพื่อข้ามสะพานลอยตรงใกล้ๆกับโรงหนังอินทรา แล้วจับรถเมล์ มาลงที่เทเวศร์ จากนั้นจึงเดินมานั่งรอต้อยที่หน้าหอสมุดแห่งชาติ
...........................................................................
เพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย กับการรอคอย ที่ผมเคยมีประสบการณ์มาก่อน จึงแวะซื้อหนังสือพิมพ์ที่แผงจำหน่ายหนังสือพิมพ์ เพื่ออ่านฆ่าเวลา.. เวลาในขณะนั้น 7 นาฬิกาเศษ เช้าวันหยุดในกรุงเทพฯ การจราจรค่อนข้างบางตา.. รถที่วิ่งสองฝั่งสวนไปมามี ผู้ใช้บริการค่อนข้างน้อย.. ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์บ้าง มองคนเดินไปมาบ้าง มองเข้าไปในรั้วหอสมุดแห่งชาติบ้าง.. ธงชาติยังโบก สะบัดพริ้วด้วยแรงลม...ทำให้มาหวนคิดครั้งเก่า.. เมื่อเรียนมัธยมปลาย ที่แห่งนี้ คือ จุดศูนย์รวมเก่าของผมและเพื่อนๆ เคยโดดเรียนกัน ที่นี่คือที่ๆ ผมมักมานั่งอ่านหนังสือ.. แม้เมื่อก่อนจะมีแอร์แต่เขามักไม่ค่อยเปิด
ไม่อยากเชื่อว่าที่นี่ คือ ...หอสมุดแห่งชาติ...เพราะอะไร..หรือ. เพราะหาคนเข้ามานั่งอ่านหนังสือ มาค้นคว้า.. ไม่มากเลย... ครู่ต่อมาอีก 15 นาที ผมชำเลืองเห็นสาวนางหนึ่ง ผมยาวสลวย ใส่กางเกงยีนส์สีขาว ใส่เสื้อยืด ถือกระเป๋าหนังสีดำ กำลังเดินมาคนเดียว ด้วยท่าทีสดชื่น.. เธอเดินใกล้เข้ามา ผมแน่ใจได้เลยทันทีว่า ...เธอคือนางฟ้าของผม...
“สวยมาก...เลย ด้วยรูปร่างสมส่วนระหง ดังกับนางพญากำลังเดิน จนผมต้องลุกจากที่นั่งที่คอยรถเมล์.. เพื่อแสดงถึงมารยาท ในการเป็นสุภาพบุรุษ
“สวัสดีจ้ะต้อย... เชิญนั่งก่อนสิ” ประโยคแรก ที่ผมทักทายออกไป
“มารอต้อยนานมั้ย ทานอะไรมาหรือยังจ๊ะ...เธอ”
“เรียบร้อยแล้วล่ะครับ แล้วต้อยล่ะครับ ทานอะไรมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวเรานั่งรถไปที่ท่าน้ำเมืองนนท์เลยนะคะ พอดีบ้านเพื่อนอยู่ที่เกาะเกร็ด ตั้งใจว่าจะให้เพื่อนเป็นไกด์ พาเที่ยวเกาะเกร็ด กันทั้งวันเลย”
“ดีเมือนกันครับ.. ผมไม่ได้มาเที่ยวที่นี่ นานมากเลย อะไรๆ คงเปลี่ยนไปบ้างแน่ๆ”
“ว่าแต่จะไปกัน ยังไงดีล่ะ..” ต้อยตั้งคำถาม แม้ถิ่นนี้ผมจะคุ้นเคยพอสมควร แต่ผมเคยเพียงแค่นั่งรถเมล์ร้อนสาย 30 สายใต้-นนท์บุรี เท่านั้น สายอื่นๆ แทบจะไม่เคยได้นั่ง ยิ่งรถเมล์ปรับอากาศแล้ว ยิ่งแล้วกันใหญ่.. แทบจะไม่เคยขึ้นรถเหล่านี้เลยสักครั้ง ค่าโดยสาร เสียเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้ เอาเถอะน่า ตกกระไดพลอยโจนแล้วนี่.. เราต้องรักษาฟอร์มคนกรุง ซะหน่อย..(วะ) รถเมล์ร้อน..วิ่งผ่านหน้าพวกเราไป คันแล้วคันเล่า .ยังไม่มีทีท่า จะมีรถปรับอากาศมาสักคัน..รอจนครึ่งชั่วโมง จึงเห็นรถเมล์สีครีม มาแต่ไกลๆ พอเดาได้ว่ามันคือรถปรับอากาศแน่ๆ ผมมั่นใจว่ารถเมล์ที่กำลังจะจอดที่ป้ายหน้าหอสมุดแห่งชาติ ...คันนี้ ต้องเป็นรถปรับอากาศ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะมันมีตัวหนังสือที่พ่นด้านกระจกว่าเป็นรถปรับอากาศ ผมมองและดูเพื่อให้เกิดความมั่นใจ ว่าผมจะไม่พาเธอนั่งรถเมล์ ผิดเที่ยว ผิดสาย แล้วเสียเวลา ต้องมารอขึ้นใหม่ ใช่เลย.... คันนี้ไปนนท์ ..แน่นอน เมื่อรถจอด ผมมองเห็นป้ายอย่างชัดเจน
“ เชิญขึ้นรถก่อนเลย ครับต้อย” ผมทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ เมื่อต้อยก้าวขึ้นรถแล้ว ผมจึงเดินตาม เธอเลือกที่นั่งริมหน้าต่างด้านซ้ายมือของตัวรถ เธอนั่งชิดด้านในแล้ว ผมจึงก้าวเท้าเดินไปนั่งใกล้เธอ
ตื่นเต้นว่ะ ในใจคิด ตลอดเวลาที่เคยเรียน และเติบโตจนเป็นหนุ่ม มีครั้งนี้ที่เป็นครั้งแรกนี่แหละ ที่ผมมีโอกาสนั่งรถเมล์ใกล้สาว คนที่เราชอบและรัก โอกาส อย่างนี้ คงจะหาได้ยาก ภายในรถเมล์ คนค่อนข้างน้อย ที่นั่งว่างมาก สักครู่กระเป๋ารถเมล์ก็เดินมาเก็บเงินค่าโดยสาร ตรงบริเวณที่ผมนั่งกับต้อย
“ลงที่ไหนครับ กี่คน”
“ลงนนท์ สองคนครับ” ผมหยิบกระเป๋าใส่เงินของเพื่อน เงินยืมที่เขาให้ยืมมา ผมหยิบธนบัตรใบละร้อย เพื่อเตรียมจ่ายค่าโดยสาร ผมยื่นให้กระเป๋ารถเมล์ ...บังเอิญ ต้อยมองมาในกระเป๋าของผมพอดี .. เหตุที่ผมต้องหยิบแบงค์ร้อย ให้กระเป๋ารถเมล์เพราะผมไม่รู้ราคาว่าค่าโดยสารจากหอสมุดฯ ไปนนทบุรี ราคาเท่าไหร่.. เกิดให้น้อยไป แล้วกระเป๋าฯ ทวงเงินเพิ่ม.. นั่นแสดงถึงว่า ผมนี่โคตรเชย ขนาดค่ารถเมล์ ก็ยังไม่รู้ราคา
“มีแบงค์ ย่อยมั้ย ครับ คนละ 6 บาท 2 คน ก็12 บาท ครับ แบงค์ร้อยไม่มีทอนครับ” กระเป๋ารถเมล์พูด
“ เมื่อกี้ต้อยเห็นในกระเป๋า มีแบงค์ยี่สิบหลายใบเลยนี่คะ..”
“เหรอ..มีด้วยเหรอ...อ๋อ..สงสัยผม ไม่ทันเห็นครับ” ผมแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ อย่างนั้นเอง จากนั้นผมจึงหยิบธนบัตรใบละ 20 ส่งให้กระเป๋ารถเมล์ พร้อมทั้งรับตั๋ว และเงินทอน เก็บใส่กระเป๋า ...บรรยากาศเริ่มขุ่นเคืองบ้างเล็กน้อย กับคำพูดของต้อย ที่บอกว่ามีแบงค์ย่อย แล้วทำไมไม่ให้เขาไป นี่คือจุดแรก ที่เขาคงรู้ว่า ผมคงไม่รู้ว่าค่าโดยสารว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่.. ผมพยายามจะไม่คิดอะไร สายตาคงมองสองข้างทาง บางช่วง ...บางโอกาสเรานั่งคุยกันอย่างมีความสุข หัวเราะคิกคัก กันตามประสาคนรักใคร่ เรื่องเมื่อสักครู่ที่ผมหน้าชา จึงลืมเป็นปลิดทิ้ง
“ใกล้จะถึงเมืองนนท์ฯ แล้วล่ะเธอ เดี๋ยวเราลงตรงแยกวงเวียนนาฬิกานะ”
“ครับ โอ...ที่เมืองนนท์ฯ นี่ผมไม่ได้มานานมากแล้วล่ะครับ วันนี้ คนไม่มากเลย เราคงได้ไปเที่ยวปากเกร็ดกันสนุกสนานเลย..” ผมพูด
“ต้อยว่า เดี๋ยวเราสองคนไปนั่งตรงร้านไอสครีมกะทิ ทานฆ่าเวลา แล้วอีกครึ่งชั่วโมง จะโทรศัพท์ไปบอกเพื่อนว่า พวกเรามากันแล้ว..” เมื่อรถจอดสนิทแล้ว ต้อยได้เดินนำหน้า พาผมมาที่ร้านไอศกรีมเจ้าประจำ ที่เธอมากินบ่อยๆ เมื่อเข้าไปในร้านไอศกรีม บริกรได้เชิญให้เรานั่งโต๊ะ พร้อมยื่นเมนู ให้เราสั่ง
“ร้านนี้ไอศครีมอร่อยมากเลย ต้อยมาทานบ่อยๆ และทานทุกครั้งที่มาเมืองนนท์ฯ โดยเฉพาะไอศกรีมรสกะทิมะพร้าวอ่อน เธอจะทาน รสอะไรดีล่ะ” ต้อยพูด
“มะพร้าวอ่อนก็ได้ ครับ”
ขณะนั่งรอเพื่อนของต้อย ก็พูดคุยถึงอำเภอปากเกร็ด ที่เรากำลังจะข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยาไปสัมผัสกัน.. วันนี้เท่าที่ทราบ เพื่อนของต้อยจะเป็นไกด์ นำพาพวกเราไปชมการปั้นหม้อปั้นไหของชาวมอญ แล้วยังจะพาพวกเราไปชมตลาดน้ำไทรน้อยด้วย ต้อยบอกกับผมว่า เพื่อนคนนี้เรียนที่รามคำแหง มีความสนิทสนมกันอย่างมาก เขาเป็นคนเชื้อสายมอญ. ที่บ้านเขาทำสวนผลไม้ ผมนั่งฟังต้อยบอกเล่าเรื่องราวอย่างตั้งใจ.. ผมคิดไปไกลว่า เราคงไปไม่กี่อึดใจ และเราทั้งสอง คงได้ไปเดินจูงมือกัน เดินชมวิว ทิวทัศน์ ดูวิถีชีวิตของชาวมอญ ตลอดจนได้ชิมอาหารอร่อยๆ ของชาวมอญ. เมื่อผมกินไอศกรีม หมดถ้วยแล้ว
“เดี๋ยวเธอ เอาเบอร์โทรศัพท์ ที่ต้อยเนี่ยะ.. แล้วช่วยเดินไปตรงที่ร้านค้าของชำตรงนั้น แล้วโทรไปหาเพื่อนต้อย ชื่ออ้อย บอกว่า ต้อยเดินทางมาถึงเมืองนนท์ฯ แล้ว ให้ออกมารับได้เลย” ต้อยเอ่ยปากขึ้นมา พร้อมยื่นหมายเลขโทรศัพท์ ส่งมาให้ผม
ผมได้รับเอาไว้..ด้วยท่าทีตระหนก งานเข้าแล้วกู.. คราวนี้ ผมนึกในใจ แต่ก็ทำปากกล้าขาสั่น
“เดี๋ยวจะไปโทรให้เดี๋ยวนี้เลยแหละ ต้อยนั่งรอที่นี่ สักประเดี๋ยวนะจ๊ะ“ ในมือที่ผมรับเบอร์โทรศัพท์มา เปียกชุ่มด้วยเหงื่อ”
ทำไม๊... ทำไม จะต้องมาให้กูโทรศัพท์ ด้วยวะ.. ในชีวิตกู นี่... ไม่เคยจับไม่เคยโทรศัพท์เลย แล้วกูก็โทรไม่เป็นเสียด้วยสิ.. ผมเดินไป พลางคิดไป..ว่าจะทำอย่างไรดี..
“เอาเถอะวะ ลองไปยืนสังเกต คนที่เขาเข้าไปใช้บริการ สักพักเดี๋ยวเราคงทำได้แหละน่า..” ผมคิด
ที่บริเวณร้านค้าของชำ..แม่ค้าวัยใกล้จะ 50 ง่วนยุ่งกับการขายของ ผมยืนมองที่ตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญ อย่างไม่กระพริบตา มีคนเข้าออกเพื่อเข้าไปโทรศัพท์เป็นระยะๆ ผมเฝ้าสังเกตตั้งแต่คนแรก จนคนที่ 2 3 4 5 6 กว่า 45 นาที ดังเสมือนกับหุ่น จนแม่ค้าสังเกตเห็นผมยืนอยู่นานจึงสอบถามขึ้นมา
“ซื้ออะไรหรือเปล่า หนุ่มน้อยคนนั้น เห็นมายืนด้อมๆ มองๆ นานแล้ว”
“จะมาใช้บริการโทรศัพท์ น่ะครับ”
“อ้าว ก็ว่างตั้งนานแล้วนี่ เข้ามาเลย” แม่ค้าพูด เหตุที่ผมยังไม่เข้าไปโทรเลย เพราะกลัวทำผิดๆ ถูกๆ และหากใครพบเห็นเข้า เขาคงหัวเราะผมแย่ เขาคงมองว่า..ไอ้หนุ่มคนนี้ แต่งตัว ซะหล่อ ซะเท่ห์ แต่มาทำเปิ่นๆ เชยๆ ให้ขายขี้หน้า ผมได้รวบรวมความกล้า เดินเข้าไปในร้าน ตามคำเรียกของเจ้าของร้านค้า... เมื่อมาถึงตู้โทรศัพท์ ก็ดำเนินการตามที่ผมเห็นมาเมื่อสักครู่... ผมมองหาเหรียญบาท ที่มีในกระเป๋าดู เหมือนจะมีอยู่สักสิบกว่าบาท จากนั้น ก็หยอดเหรียญ ลงในรูช่องหยอดเหรียญ “คิ๊ก ๆๆๆๆๆ” เหรียญดัง ตามจำนวนที่หยอดลงไป จากนั้นผมจึงยกหู ขึ้นพูด
“โหลๆๆๆๆๆ” ผมไม่รู้หรอกว่า มันต้องฟังสัญญาญว่าว่างก่อน แล้วจึงค่อยพูด.. จริงๆ แล้วในวันนี้ ผมไม่ได้ทำตามขั้นตอนการใช้โทรศัพท์อย่างถูกวิธี เพราะมันผิดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว คือ เมื่อผมหยอดเหรียญไปแล้ว ผมจึงยกหูแล้วกดหมายเลข.. เมื่อขั้นตอนมันผิด มันจึงไม่สามารถส่งสัญญาญไปถึงปลายทางที่จะรับโทรศัพท์ได้ ผมทำซ้ำๆ แบบนี้กว่า 10 ครั้ง. ..รูปแบบที่ได้ยินในโทรศัพท์ มันก็ดังตู๊ดๆๆๆๆ เสียงสั้นๆ ถี่ๆ
“ไม่ทง ไม่โทรอีกแล้ว” ผมคิด แต่ผมกำลังหาคำแก้ตัวที่จะไปรายงานให้ต้อยรู้
ผมเดินออกจากร้านค้า แล้วมาที่ร้านไอศกรีมที่ต้อยนั่งรอ..ภายในร้านไอศกรีมห้องเย็นฉ่ำด้วยแอร์ แต่เหงื่อผมท่วมตัว
“ทำไมเธอไปนานจังเลย ล่ะ”
“อ๋อ คนใช้บริการแน่นมากเลย เลยต้องรอ”
“เป็นไงบ้าง ล่ะ อ้อยว่าไงบ้าง”
“ติดต่อไม่ได้เลย สงสัยที่บ้านอ้อย ไม่มีใครอยู่ โทรไปกี่ครั้งๆ ก็ไม่มีคนรับสายเลย” ผมว่าเข้าไปนั่น ขณะคุยสายตาก็ก้มลงมองพื้น
“ไม่จริง หรอกมั่ง ปกติ ต้อยโทรไปหาอ้อย... เขาต้องมารับสายเองทุกครั้ง”
“แต่ครั้งนี้อ้อยอาจมีธุระก็ได้”
“เป็นไปไม่ได้ เรานัดกันเสียดิบดีแล้วล่ะ สงสัยมันต้องมีอะไรเคลือบแคงแล้ว เมื่อจ่ายค่าไอศกรีมแล้ว.. เดี๋ยวเดินไปที่ร้านโทรศัพท์ กับต้อยอีกครั้ง”
ตายแล้ว งานนี้กูโดนเผาทั้งเป็น แล้ววันนี้... เอาเถอะวะ ลองอีกครั้ง เผื่ออาจโทรติดก็ได้ ผมมองโลกในแง่ดี เมื่อเดินมาถึงร้านของชำเมื่อครู่ ต้อยก็พาผมมายังเครื่องโทรศัพท์หยอดเหรียญ ที่ตั้งบนโต๊ะ เขาได้ทักทายแม่ค้าที่อาจคุ้นเคยกันมาบ้าง
“มากับหนุ่มคนนี้เหรอ เมื่อกี้เขาก็มาโทรศัพท์ แล้วนี่... เห็นยืนด้อมๆ มองๆ อยู่นาน น้าก็เลยเรียกเข้ามาใช้”
“ค่ะมาด้วยกัน” เธอผละจากแม่ค้าแล้วพูดกับผม
“ลองโทรอีกครั้งซิ...ต่อหน้าต้อย เดี๋ยวนี้เลย..”
ผมเริ่มปฏิบัติการอย่างมั่นใจ คือ เอาเหรียญหยอดใส่ ก่อนยกหูโทรศัพท์จากนั้นจึงมายกหูโทรศัพท์ แล้วกดหมายเลข เธอมองผมกระทำมาตั้งแต่เริ่มต้น..
“อ้อ. เพราะอย่างนี้...นี่เอง มันจึงสื่อสารกันไม่ได้ซักที” จากนั้นเธอจึงกดเหรียญ ให้เหรียญมันไหลออกมา แล้วเธอจึง เริ่มต้นทำให้ผมดู
“นี่เธอดู..ขั้นตอนการโทร.. เขาต้องยกหูขึ้นก่อนแล้วจึงค่อยหยอดเหรียญ แล้วจึงกดหมายเลข จากนั้นก็ฟังสัญญาญ แล้วจึงพูดออกไปได้”
“ว่ายังไงจ๊ะ อ้อย สบายดีมั้ย วันนี้เค้ามาถึงท่าน้ำนนท์ฯ แล้วล่ะ วันนี้อ้อย ไม่ต้องมารับเค้าแล้วนะ...ไม่มีอารมณ์เที่ยวแล้วล่ะ ไว้โอกาสหน้าดีกว่า..นะ”
“เกิดอะไร ขึ้นหรือต้อย” เสียงพูด ที่ผมพอจะได้ยินบ้าง
“ไว้วันหน้าก่อน แล้วจะเล่าให้ฟัง เคนะ.. เดี๋ยวเค้าจะกลับบ้านแล้วล่ะ บายจ้า เพื่อน..” เมื่อต้อยพูดเสร็จ เธอก็วางโทรศัพท์ตรงช่องวางหู
“กลับบ้านกันดีกว่านะ...ไว้ครั้งหน้าค่อยมาเที่ยวกันใหม่... วันนี้ ต้อยเกิดอาการไม่สบายขึ้นมาอย่างกระทันหันแล้ว”
ผมยอมรับสภาพกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...และรู้ตั้งแต่...ตอนที่ได้จ่ายค่ารถเมล์แล้ว.. ในใจยังคิดว่าผมยังจะต้องเจอเหตุการณ์ข้างหน้า... อีกหลายอย่าง... และมันก็เป็นจริงดังที่คาดไว้..เสียด้วย
“ช่างเถอะวะ กลับก็กลับ “ วันนี้ท้องฟ้าตอนออกมาจากเกษตรเจ้าคุณ มันช่างดูสดใส สวยงาม ปราศจากเมฆครึ้มที่จะก่อตัวเป็นพายุเลย..แต่ทำไม.. ชั่วไม่เกิน 5 ชั่วโมงมันกับกลายมาเป็นพายุทอร์นาโด ที่ก่อตัว ที่ทำเอาผมตั้งตัวไม่ทันเลย.. ผมกับต้อยมาขึ้นรถที่ต้นทาง... ด้วยรถปรับอากาศ เช่นเดิมเมื่อขึ้นรถได้แล้ว ต่างคนก็ต่างนิ่ง ไม่พูดจากันเลย... สักนิด...เมื่อถึงเทเวศร์ ผมจึงขอตัวลงก่อน ท่าทียามเช้ากับช่วงบ่ายเศษๆ แตกต่างกันดังหน้ามือเป็นหลังมือ..
นี่เป็น ...วันแรกและวันสุดท้าย... ที่ผมกับต้อยได้เจอกันอย่างเป็นทางการ.. คิดไปแล้วก็เศร้าใจ เพียงแค่ใช้โทรศัพท์ ..ไม่เป็น.. ถึงกับจะต้องถูกศาลอาญาแห่งความรัก .... ประหารชีวิตกันเลย .. อะพิโธ่ พิถัง กะละมังแตก ...เข็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมไม่เคยเขียนจดหมายถึงต้อยอีกเลย รูปภาพเก่าๆ ที่ ต้อย เคยสลักลายเซ็นต์มอบไว้ให้ ก็ได้อันตรธานหายไป ตามกาลเวลา.. ทุกครั้งที่เห็นโทรศัพท์หยอดเหรียญ นึกไปว่า
“เพราะเอ็งแท้ๆ ที่เป็นต้นเหตุ..ให้รักข้าสลาย..ลง”
10/7/60
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น